วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ความลับข้อที่ 1 ปัจจุบันขณะ

ฉันเคยสงสัยคำว่าปัจจุบันขณะเสมอมา ฉันได้พบคำว่าปัจจุบันขณะครั้งแรกเมื่อฉันได้เข้าไปบวชชีพราหมณ์ที่สถานปฏิบัติธรรมแสงทองส่องชีวิต แต่คนฉลาดน้อยอย่างฉันก็ยังไม่เข้าใจคำว่ารู้สึกตัวตนอยู่ทุกขณะ แต่ฉันไม่ถามใครหรอกเพราะตอนนั้นฉันอายเกินกว่าที่จะให้ใครรู้ว่าฉันโง่ อาจจะเพราะตอนนั้นฉันยังมีอีโก้ปนอีโง่อยู่กระมัง คำๆนี้จึงเป็นความลับดำมืดสำหรับฉันตลอดมา

จนกระทั่งฉันได้มาพบคุณAvatar_Boy ซึ่งถึงตอนนี้แม้เราจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วแต่ฉันยังระลึกถึงเขาอยู่เสมอ ฉันจะเล่าให้คุณฟังวันหลังถึงวิธีจัดการกับความรู้สึกนี้และเชื่อว่ามีประโยชน์กับคุณผู้อ่านแน่นอน

คุณAvatar_Boy เป็นชายไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศแล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ตั้งกระทู้หนึ่งในเวบพลังจิตดอทคอม เวบเดิมที่ฉันวนเวียนเข้าไปอ่านเสมอๆ เขาตั้งกระทู้เกี่ยวกับโรงเรียนโบราณและการรู้แจ้ง ซึ่งถึงตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะนำข้อเขียนเขามาถ่ายทอดให้คุณๆฟังได้ แต่ฉันเล่าได้ว่ากระทู้นั้นสร้างบางอย่างมหัศจรรย์ให้กับฉัน

เขาย้ำบ่อยครั้งถึงปัจจุบันขณะว่ามันมีพลังอำนาจมหัศจรรย์ขนาดจะพลิกชีวิตทั้งชีวิตของเรา เขาบอกถึงวิธีการนั่งสมาธิที่จดจ่อไปที่ตำแหน่งบริเวณตาที่สาม(ตำแหน่งกลางระหว่างคิ้วหรือเราเรียกตำแหน่งนี้ว่าจักระที่ 6) จดจ่อจนฉันลืมตัวตนของตัวเองแล้วอยู่กับปัจจุบันขณะ

ฉันเริ่มงงและไม่เข้าใจ ฉันพยายามถามว่ามันเป็นยังไงกันนะไอ้ปัจจุบันขณะขณะที่ลืมตัวตนของเราไป เขาก็ตอบว่าปัจจุบันขณะคือการรู้สึกตัวตนและการรู้สึกตัวตน คนโง่อย่างฉันก็ไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด เฮ้อ...ฉันได้แต่ทอดถอนใจแล้วทำตามที่เขาสอนโดยหวังว่าสักวันฉันก็คงรู้ความหมายที่แท้จริงเอง

ฉันนั่งสมาธิด้วยการเพ่งไปที่ตำแหน่งตาที่สาม จนปวดเขม็งเพราะเกร็งกล้ามเนื้อขณะที่เพ่งไปตำแหน่งนั้น มันออกจะเป็นวิธีการที่โง่สักหน่อยสำหรับผู้หญิงที่รักสวยรักงามอย่างฉันเพราะการเพ่งเกร็งไปจุดนั้นทำให้เกิดริ้วรอยย่นได้ง่าย

ฉันเพ่งแบบโง่ๆไปวันแล้ววันเล่า วันละหลายชั่วโมง บอกแล้วไงฉันเป็นนักเรียนที่ดี เขาบอกว่าถ้าฉันอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตต้องจดจ่อนานนับชั่วโมง เขายกตัวอย่างเขาว่าเขานั่งเพ่งจดจ่อวันละสามชั่วโมงแล้วไม่เกินสามวัน ความปรารถนาที่เขาจดจ่อก็เป็นจริง ฉันอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ฉันร่ำร้องในใจและเลิกทำอย่างอื่นนอกจากการนั่งสมาธิ เพ่งให้ลืมตัวตน แต่ฉันไม่เคยทำได้สักที ฉันยังคงมีตัวตนฉันนั่งสมาธิจนปวดเมื่อย หน้าผากเต้นตุบตับด้วยความปวดและหมดเวลาไปอีกวัน

ฉันพยายามเรียนรู้ถึงสิ่งเขาบอกเล่าไม่ว่าจะเป็นการจดจ่อกับสิ่งที่ปรารถนา คุณผู้อ่านคงจะจำหนังสืออันลือลั่นทั่วโลกอย่าง เดอะ ซีเคร็ตได้นะคะ สิ่งที่เขานำมาเล่ามาสอน มันก็มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับหนังสือเล่มนั้นแต่ลึกกว่า ละเอียดกว่าและจับต้องได้มากกว่า

เขาพูดถึงการจดจ่อสิ่งที่ปรารถนาด้วยการนำสัญลักษณ์วางไว้ในทุกที่ในบ้านให้ฉันเห็น ให้ฉันจดจ่อกับความปรารถนาของฉัน มันคือกฏแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ฉันก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะฉันอยากมีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น พ้นจากความยากจนและปัญหาหนี้สิน 16 ล้านที่รุมเร้าฉัน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันสร้างหนี้ขนาดนั้นจริงๆและยากจนเฉียบพลันจริงๆ

มันอาจจะได้ผลกระมัง ฉันคิดว่านะ เพราะช่วงขณะนั้นฉันเริ่มมีรายได้เข้ามาอย่างเป็นกอบเป็นกำ เดือนละ 50000 บาท มันทำให้ฉันรู้สึกมีแรงใจที่จะต่อสู้ต่อไป แต่ลึกๆฉันกลับรู้สึกไม่ภาคภูมิใจกับอาชีพการงานนั้นนัก มันเป็นอาชีพที่ฉันไม่ค่อยรู้สึกมีเกียรติและฉันไม่ค่อยกล้าบอกใครนัก อาจจะเพราะฉันจดจ่อแค่เรื่องเงิน อาชีพนั้นจึงจบลงในเวลาปีเดียวโดยที่ฉันรู้สึกเสียดายนิดๆโล่งใจหน่อยๆ ความรู้สึกมันอธิบายยากเหลือเกินแล้วฉันก็เริ่มมีรายได้ทางอื่นเข้ามา อย่างน้อยมันทำให้ฉันเริ่มลืมตาอ้าปากได้บ้าง

เอาละฉันไม่อยากให้คุณผู้อ่านเสียเวลากับเรื่องความยากจนหรือรายได้ของฉัน เอาเป็นว่าหลังจากที่จดจ่อกับสัญลักษณ์และนั่งสมาธิอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่ค่อยได้ผล ไม่ค่อยเข้าใจมาประมาณ 6 เดือน

ประสบการณ์นั่งสมาธิทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนด้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ฉันได้ฟังคนอื่นพูดถึงความมหัศจรรย์ของการนั่งสมาธิ ใบหน้าคนคนนั้นจะอิ่มเอิบมีบุญและกระจ่างใส บางคนถึงกับประกาศว่าครีมลบเลือนริ้วรอยใดๆก็ไม่สู้การนั่งสมาธิ

ฉันไม่เคยเข้าใจและฉันทำไม่ได้ ปัจจุบันขณะและสมาธิยังคงเป็นความลับดำมืดสำหรับฉัน

วันหนึ่งฉันได้ฟังวิทยุรายการหนึ่งที่นำเทปบันทึกการเทศน์ของพระอาจารย์ ว. วชิรเมธีมาเปิดแล้วบังเอิญเป็นเรื่องของปัจจุบันขณะ ท่านเล่าว่าได้ไปพบท่าน ดิช นัช ฮานน์ที่กุฏิของท่านดิช ท่านดิช นัช ฮานน์เป็นพระชาวเวียตนามที่ไปเผยแพร่ธรรมที่ประเทศฝร่งเศส ท่านเขียนหนังสือมากมายที่ล้วนมีคุณค่าที่คุณผู้อ่านจะหาอ่าน

ท่าน ว. เล่าว่า ท่านดิช นัช ฮานน์ให้ความสำคัญกับคำว่า " Now & Here" นาฬิกาของท่านจะมีอยู่ทั่วกุฏิแต่ไม่ได้มีตัวเลขอย่างนาฬิกาทั่วๆไป หากแต่มีคำว่า Now ในตำแหน่งตัวเลขหลักๆของนาฬิกาทั่วไป เช่นตำแหน่ง เลข 12 เลข 6 เลข 3 เลข 9
ท่าน ว. ยังให้คนฟังลองสำรวจว่าเราใช้ชีวิตในอดีตหรือปัจจุบันในแต่ละวัน ท่านว่าแค่เราฮัมเพลงโปรด เราก็ใช้ชีวิตอยู่ในอดีตแล้ว ท่านยังสอนว่า ให้เราหัดสนใจลมหายใจของตัวเองสักวันละนาที สองนาทีก็ยังดี

ฉันก็เริ่มทำตาม บอกแล้วไงคะว่าฉันน่ะพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใจคำว่า Now หรือปัจจุบันขณะเพราะฉันเชื่อว่าถ้าฉันเข้าใจมัน ฉันก็จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันได้ ฉันเริ่มตั้งนาฬืกาให้ดังทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อจะได้สนใจลมหายใจของตัวเองอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้าหายใจออก ฉันรู้สึกดีใจที่ตัวเองมีปัจจุบันขณะแม้จะหนึ่งนาทีในแต่ละชั่วโมง แต่มันยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่างที่ฉันคิด

จนกระทั่งไม่นานนี้เอง ฉันได้ไปเยี่ยมพี่นักเขียนที่บ้านหลังมหึมาของพี่เขาที่เขาใหญ่ ฉันอยากจะเรียกว่าวังหรือคฤหาสน์มากกว่าสำหรับบ้านขนาด 1600 ตารางเมตร บ้านพี่นักเขียน ไลฟ์สไตล์พี่นักเขียนคือความปรารถนาของฉันที่ใฝ่ฝันถึงมาตลอดแต่ไม่เคยเห็นมันคมชัดและเป็นจริงเช่นขณะที่ยืนอยู่ในบ้านของพี่ต๋อม เมื่อฉันบอกพี่เขาว่านี่คือความฝันของฉันที่ฉันรู้ว่าปรารถนามาโดยตลอดแต่มันไม่เคยมีแบบร่างให้ฉันเห็นเท่านี้มาก่อนในชีวิต

พี่ต๋อมมองฉันก่อนจะยิ้มด้วยแววตาอบอุ่นปนขัน "ไว้พี่จะบอกความลับที่สาริสาจะมีแบบนี้ได้ ชีวิตมันง่ายเหลือเกิน" โอ๊ย ตายละ ฉันอยากจะรู้ความลับนี้เหลือเกิน ฉันร่ำร้องในใจแต่ตามมารยาทฉันควรจะสงบเสงี่ยม สำรวมตัว

วันนั้นพี่นักเขียนหรือพี่ต๋อม (ซึ่งต่อไปฉันจะเรียกว่าพี่นักเขียนเพราะฉันชอบที่จะให้เป็นแบบนั้น) ทำขนมจีนแกงเขียวหวานลูกชิ้นกับผักกาดดองผัดไข่เลี้ยง มันดูเป็นอาหารง่ายๆธรรมดาๆแต่เมื่อเป็นไลฟ์สไตล์ของพี่นักเขียน แน่นอนละมันย่อมไม่ธรรมดา จานอาหารจัดวางในจานสวยงามวางซ้อนจานสองชั้นพร้อมแผ่นรองจานสีทองบนโต๊ะอาหารฝังมุกที่ยาวเหยียดขนาด 20 ที่นั่ง มันหรูหราจริงๆนะสำหรับฉัน

ระหว่างทานอาหาร พี่นักเขียนก็เล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านและเรื่องของจิตวิญญาณ มีตอนหนึ่งที่พี่นักเขียนยืนยันด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นอย่างคนมีประสบการณ์ว่า "ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยจินตนาการ ปัจจัยใดๆไม่มีความสำคัญเลย"

โอ้...ฉันอยากจะรู้เหลือเกิน ให้ตายเถอะ

แล้วคนหนึ่งในคณะที่ไปด้วยกันก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องภัยพิบัติ เรื่องจลาจล เรื่องความน่ากลัว พี่นักเขียนได้แต่ยิ้มแล้วรีบฟังด้วยอาการสงบ

"เราจดจ่อสิ่งใด เรามักได้สิ่งนั้น เรื่องนี้เป็นจริงเสมอมาโดยไม่เคยเปลี่ยน" เธอหันไปสบตาคนที่กำลังบรรยายถึงภัยพิบัติ "ถ้าน้องจดจ่อกับเรื่องนี้ น้องก็จะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้" พี่นักเขียนเล่าถึงชีวิตช่วงหนึ่งที่ตอนนั้นสถานการณ์ในกรุงเทพฯ กำลังเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของผู้คนกลุ่มหนึ่ง เรื่องของสีในประเทศไทย

"ถ้าพี่รับเอาสถานการณ์นั้นเข้ามาด้วยความกลัว พี่ก็จะจดจ่อกับเรื่องนั้นแต่พี่ไม่รับความคิดนั้น พี่ปิดทีวี วิทยุแล้วใช้ชีวิตตามปกติ เพราะพี่เลือกที่จะอยู่ในมิติที่ไม่มีเรื่องนั้น มิติแต่ละมิติซ้อนทับกันจนเราแทบแยกไม่ออก ถ้าพี่เลือกเอามิติที่พี่จะไปอยู่ท่ามกลางการชุมนุม พี่ก็จะไปอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าพี่เลือกมิติที่มีแต่ความสุขสงบ พี่ก็จะไม่เจอเรื่องแบบนั้น มันขึ้นอยู่กับขณะนั้นว่าเราจดจ่อกับสิ่งใด"

"พี่หมายถึงว่าเราจดจ่อกับมิตินั้น เราต้องมีสติจดจ่อกับปัจจุบันขณะเพื่อเลือกมิตินั้นใช่ไหมคะ" แสงสว่างปลายทางอุโมงค์เริ่มเห็นแสงรำไรขณะที่ฉันถามออกไป
พี่นักเขียนพยักหน้า "ถูกต้อง ปัจจุบันขณะเป็นเรื่องสำคัญว่าเรากำลังเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในมิติใด เราต้องจดจ่อกับปัจจุบันขณะ มีสติและจดจ่อกับสิ่งที่เราปรารถนา"

ฉันแทบจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น ฉันเก๊ตแล้ว ปัจจุบันขณะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของอเคมดิสตอนที่ร้องอุทานว่า "ยูเรก้า! "

ฉันเข้าใจมันแล้ว... ยูเรก้า Now&Here

ถ้าฉันจดจ่อกับสิ่งที่ฉันปรารถนา ฉันต้องมีสติจดจ่อกับสิ่งที่ฉันปรารถนาโดยรู้สึกตัวตนทุกขณะว่าฉันกำลังเลือกมิติใด มิติที่ฉันกำลังอยู่นี้ใช่ชีวิตที่ฉันปรารถนาหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ฉันก็เปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสิ่งที่ใช่สำหรับฉัน ที่สำคคัญฉันต้องมีปัจจุบันขณะที่จะรู้ตัวว่านี่ฉันกำลังอยู่ในมิติไหน ง่ายๆแบบนี้

ดิฉันมีลูกค้าชาวญี่ปุ่น (อ้อ ดิฉันลืมเล่าไปว่าช่วงที่ผ่านมา ชีวิตฉันดีขึ้นๆจนฉันเริ่มมีธุรกิจของตัวเอง เป็นธุรกิจส่งออกเล็กๆที่มีหนทางเติบโตมั่นคงอย่างมากในวันข้างหน้า) แล้วช่วงที่ไปเขาใหญ่บ้านพี่นักเขียนก็เป็นช่วงที่สินค้าต้องโหลดเข้าเครื่อง
ปกติถ้าสินค้าส่งออกฉันต้องอยู่แสตนบายเพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ทำใจว่าทุกอย่างคงไม่มีปัญหา ปรากฏว่ามีปัญหา เนื่องจากเป็นความผิดพลาดของลูกค้าและความไม่รอบคอบของเราที่ไม่เช็คกลับไปที่ลูกค้าอีกที
วันจันทร์เป็นอะไรที่โกลาหล สินค้าไปถึงแล้ว แต่ความผิดพลาดมันทำให้ออกของไม่ได้เพราะต้องแก้ที่ต้นทาง ถ้าลูกค้าปฏิเสธที่จะรับ หมายถึงว่าดิฉันก็จะสูญเสียเงิน ขณะที่ลูกค้าองถ้ารับก็จะต้องโดนเรื่องภาษีสองเท่า ซึ่งแพงกว่าราคาของเสียอีก
ทีแรกดิฉันทั้งตระหนกตกใจ หวั่นกลัว แต่พยายามนึกถึงคำพูดพี่นักเขียนว่า เราเชื่อ เราคิด เราก็ดึงดูดมันเข้ามา ในเมื่อกฏจักรวาลบอกว่าคลื่นความถี่เดียวกันจึงอยู่ด้วยกัน ความเชื่อเดียวกันจึงอยู่ด้วยกัน ฉันบอกตัวเองว่าเราเลือกมิติที่สินค้าสามารถเคลียร์ได้โดยไม่มีปัญหา
แล้วลูกค้าก็ไม่มีปัญหา เราอยู่ในมิตินั้น

ตอนที่โทรหาลูกค้า ฉันสงบอย่างประหลาด น้ำเสียงมั่นคงขณะยืนยันกับลูกค้าว่า เชื่อมั่นว่ในตัวฉันที่จะทำให้ดีที่สุดแล้วทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย จากความร้อนรนกังวลใจของเขาที่จะให้แก้แบบนั้นแบบนี้ ฉันจึงบอกให้เขาหยุดฟังเราด้วยเสียงที่ค่อนข้างวางอำนาจให้เขาหยุดพูดแล้วฟังฉัน แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแต่สงบ เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยอมทำตามที่แนะนำคืออยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย อย่าดิ้นรน ฉันรับผิดชอบทุกปัญหาเอง แม้ว่ามันจะเริ่มจากเขา(ข้อนี้ฉันไม่ได้บอก มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันไปมา)

จากนั้นก็ติดต่อคาร์โก้เมืองไทยให้ติดต่อเอเย่นต์ทางฝั่งโน้น เราประชุมสามสาย หลังจากที่ฉันขอเป็นคนเจรจาเองโดยให้คาร์โก้เงียบๆไป เพราะคาร์โก้เองก็พูดแต่วิธีแก้เดิมๆที่เคยทำ

ฉันก็พูดไปใจก็คิดไปว่านี่คือมิติที่เราเลือกอยู่ ไม่มีปัญหา ไม่มีความยุ่งยาก จากปัญหายากๆหลังจากที่ทุกคนช่วยกันหาทางออก แก้เอกสาร ส่งจากเมืองไทย แก้ต้นขั้ว ยื่นขอใหม่แม้จะเสียเวลาอีกวัน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง ลูกค้าก็รับได้  วันนี้ปัญหาก็จบลงอย่างสวยงาม

เชื่อไหมว่าวินาทีนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่กลับเข้าใจเรื่องของพลังอำนาจในตัวเอง การเชื่อมั่นในตัวเองและห้วงปัจจุบันขณะ

ถ้าเราอ่อนไหวกับสิ่งที่คนอื่นๆพูดมาเพราะเขาเคยมีประสบการณ์แบบนี้ แล้วมีทางเลือกที่เคยทำมาแล้วแบบนี้ เราจะไม่มีทางออกที่ดีเท่านี้ถ้าเรายอมรับมัน แต่เพราะฉันไม่ฟังเพราะนั่นจะหมายถึงว่าฉันเลือกที่จะอยู่ในมิติที่มีปัญหา ฉันเชื่อมั่นในอนุภาคพระเจ้าในตัวเราที่จะได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ มันมีช่องว่างระหว่างเรากับความต้องการคือความเชื่อเท่านั้นเอง

ฉันอยากให้คุณผู้อ่านลองทำความเข้าใจกับปัจจุบันขณะของตัวเองว่ามันตีความอย่างไร จากที่ปัจจุบันขณะที่ผ่านมาของฉันคือการแค่จับลมหายใจทุกชั่วโมง แต่มันยังไม่ใช่ปัจจุบันขณะแห่งมิติที่ปรารถนา จนกระทั่งประสบการณ์เรื่องนี้ทำให้เรารู้จักปัจจุบันขณะของตัวเองและพลังอำนาจแห่งการรู้สึกตัวตนในปัจจุบันขณะ
 แต่ละคนอาจมีปัจจุบันขณะของตัวเองต่างกันไป อันนี้ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ฉันค้นพบว่าปัจจุบันขณะของฉันนั้นมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ฉันปรารถนา และด้วยพลังอำนาจนั้นมันทำให้ฉันสงบและมั่นใจตัวเองสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย

9 ความคิดเห็น:

  1. 3AMnow

    ทันทีที่คุณรู้ว่าเป็นเวลาตีสาม ตีสามก็ได้กลายเป็นอดีตของคุณไปแล้ว ตีสามกับอีกหนึ่งวินาทีต่างหาก (อุปมาอุปมัย) ที่เป็นปัจจุบันของคุณ เรื่องนี้บอกกับเราว่า ณ ปัจจุบันขณะ กำลังเดินทางเคลื่อนไปอยู่ตลอด หากคุณสามารถจับปัจจุบันได้ คุณก็กำลังท้าทายจักรวาล ด้วยการเฝ้าสังเกตุการณ์ความเป็นไปอยู่ด้วยโดยตลอดนั่นเอง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากๆค่ะที่เผยเรื่องดีดีให้ผู้อ่านได้เข้าใจมาก

      ลบ
  2. ...จดจ่อไปที่ตำแหน่งบริเวณตาที่สาม...
    ...ปัจจุบันขณะคือการรู้สึกตัวตนและการรู้สึกตัวตน...
    ...นำสัญลักษณ์วางไว้ในทุกที่ในบ้านให้ฉันเห็น...
    ...เพ่งจดจ่อวันละสามชั่วโมงแล้วไม่เกินสามวัน...
    ขอรบกวนคุณสาริสาช่วยขยายความข้างต้นอีกทีได้ไหมคะ ขอแบบละเอียดเลย step by step เท่าที่จะแชร์ได้ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

    ตอบลบ
  3. วิธีการฝึกสมาธิแบบนี้คือ หาที่สงบๆที่จะไม่มีใครรบกวนคุณได้ ปิดเปลือกตาอันงดงามของคุณเบาๆ ในขณะที่หลับตา นำจิตไปวางไว้บริเวณตำแหน่งมหัศจรรย์แห่งดวงตาที่สาม(ระหว่างคิ้ว)

    เพ่งจดจ่อความคิดของคุณ (ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์, คำพูด, แนวคิด,ฯลฯที่แสดงถึงความปรารถนาหรือเป้าหมายที่คุณอยากจะเป็น/อยากจะ
    ทำ/อยากจะมี/อยากจะรู้/อยากจะหายจาก/อยากจะแก้ปัญหา/อยากจะ
    สร้างสรรค์/อยากจะดึงดูดหรือไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม...โดยไม่วอกแวกไปที่อื่น

    อย่าเครียดหรือบีบเค้นดวงตาที่สามของคุณมากเกินไปเพราะมันจะทำให้คุณปวดศีรษะได้ แต่ก็อย่าเบาเกินไปจนมันกลายเป็นแค่ Day Dream

    การจดจ่อเพ่งไปในสิ่งๆ เดียวไม่ว่าจะเป็นความคิด/สัญลักษณ์/ไอเดีย สมองของคุณก็จะเปลี่ยนคลื่นจากคลื่นเบต้าเป็นคลื่นอัลฟ่า นั่นคือสภาวะเหมือนเข้าสู่ภวังค์อ่อนๆ (กึ่งหลับ กึ่งตื่น)คุณจะหลงลืมว่ามีตัวตน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากๆๆค่ะ เข้าลึกซึ้งมากสะเทือนไปทั้งร่างกายใจ จักรวาลภายในตัวเราตื่นเลย ขอบคุณนะคะ

      ลบ
  4. (ถ้าหากว่า คุณไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่ในสมองคุณเลยละก็ นั่นหมายความว่าคุณยังไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงภายในสมอ)

    ถ้าภาวะจิตของคุณกำลังเริ่มจดจ่อไปว่า เมื่อไหร่ หรือมันจะเกิดอย่างไร
    หรือเริ่มหมดความอดทน มันหมายความว่า ภาวะจิตของคุณไม่ได้เพ่งจดจ่อ
    ไปที่ความคิดหรือสัญลักษณ์เลย และยังหมายถึงว่า...คุณไม่ได้อยู่ในปัจจุบันขณะนี้เลย เพื่อให้การปฏิบัติสมาธิเช่นนี้สำเร็จผล คุณต้องใส่ใจที่จะจดจ่อไปที่ความคิดหรือสัญลักษณ์เดิมเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

    ตอบลบ
  5. ทีนี้ขอให้เรามาพูดกันถึงเรื่องสัญญลักษณ์

    สัญลักษณ์เป็นเหมือนตัวแทนของสิ่งที่คุณปรารถนา ง่ายๆ สั้น ชัดเจนและไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะใช้สัญลักษณ์ใด คุณเพียงบอกจิตใต้สำนึกว่านี่คือสิ่งที่คุณปรารถนา

    ยกตัวอย่างเช่น เราทุกคนรู้ว่า $ คือสัญลักษณ์ของเงินดอลล่าร์สหรัฐ แต่ถ้าคุณต้องการเงินบาท คุณก็อาจใช้สัญลักษณ์ ฿ ติดในทุกที่ที่คุณจะมองเห็นได้ง่ายในบ้าน หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของคุณ ทุกที่ที่คุณจะระลึกถึงความปรารถนาของคุณเองและจดจ่อไปที่มัน

    หวังว่าคำอธิบายของฉันคงจะช่วยคุณ 3am ได้บ้างนะคะ

    ตอบลบ
  6. เยี่ยมค่ะ ขอบคุณมากมาย ที่ผ่านมา บังเกิดผลตามที่คิด (บางเรื่อง) แต่เป็นไปแบบไร้จุดอ้างอิงอย่างประมวลผลได้ คำแนะนำของคุณ sarissa ได้ช่วยกระชับพื้นที่ในการสร้างระเบียบระบบ และตอกย้ำแนวทางที่ตัวเองเคยประสบ รวมความแล้ว สุโค่ย ค่ะ เขียนต่อนะคะคนดี เมื่อนักเรียนมาแล้ว คุณครูต้องอย่าลังเลที่จะเข้ามาประจำชั้นเรียนนะคะ

    ตอบลบ
  7. ถ้าหากทันทีที่เรารู้ว่าเป็นเวลาตีสามแล้วมันเป็นอดีตไปแล้ว เวลาตีสามกับหนึ่งวินาทีก็น่าจะเป็นอดีตแล้วเหมือนกัน แม้ว่าเราจะย่อยวินาทีออกเป็นกี่เสี้ยวก็น่าจะยังเป็นอดีตอยู่ดี
    ปัจจุบันขณะ จริงๆ แล้วมีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ หรือ?

    ตอบลบ