วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

Law of Attraction เมื่อกฏแห่งแรงดึงดูดทำงานให้ฉัน

Law of Attraction
                กฎแห่งแรงดึงดูด ฉันเชื่อว่าเมื่อใครได้อ่านมาถึงบทความนี้คงจะต้องเคยได้ยิน ได้ฟังถึงคำนี้บ่อยๆ บางคนแม้แต่เคยลองใช้ เพราะอยากรู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่แล้ว...เราก็ยักไหล่บอกตัวเองว่า นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง มันเป็นเรื่องหลอกทางจิตวิทยาเพียงเพื่อให้เราเป็นคนคิดบวกเท่านั้น
                ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดแบบนั้น แม้ฉันจะเชื่ออยู่ลึกๆในใจก็ตามว่า มันต้องมีบางสิ่งที่มีนัยสำคัญซ่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นคนทั้งโลกคงจะไม่ตื่นเต้นกับกฎที่ว่านี้ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ฉันว่างแบบว่างเปล่า (ถ้าคุณเคยอ่านบล็อกของฉัน คุณคงรู้ว่าฉันตกงาน ถังแตกและมีเวลาว่างอย่างเหลือล้น) ฉันได้มานั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของฉัน ฉันคิดถึงวิธีการตัดสินใจของฉัน ความเชื่อมั่นในตัวเองและความดื้อรั้นของฉัน ทำให้ฉันมีวันนี้ วันที่ฉันล้มทั้งยืน
                ฉันไม่เคยยอมรับกับตัวเองมาก่อนเลยว่าปัญหาใหญ่หลวงตรงหน้าคือความรับผิดชอบเต็มๆของฉัน ที่ผ่านมาฉันต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเพื่อพยายามหาทางรักษา “สถานภาพทางสังคมและธุรกิจ” ของฉันไว้อย่างที่สุด ฉันไม่อาจจะยอมรับได้ว่าฉันหมดตัวและพ่ายแพ้ แม้สัญญาณทางธุรกิจจะส่งสัญญาณมาให้ฉันรับรู้อยู่เสมอๆ ทั้งที่ฉันไม่ต้องการฟัง ชีวิตช่วงนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก ลำบาก ฉันต้องขอกู้เงินทุกธนาคารที่พอจะยอมรับเครดิตฉัน ยืมเงินแม่ ครอบครัว เพื่อนและทุกคนที่รู้จักเพื่อพยุงกิจการด้วยความหวังว่า สักวันมันจะดีขึ้น แต่สุดท้ายฉันจำต้องยอมแพ้ต่อโชคชะตาด้วยหัวใจที่แตกสลาย
                แต่ถึงกระนั้น ฉันยังไม่วายโทษโชคชะตา ฉันเชื่อว่าเพราะกรรมเก่าที่ฉันเคยทำ ฉันเชื่อว่าฉันเกิดมาพร้อมกับความโชคร้ายและปัญหาการเงิน ฉันโทษทุกอย่างในทุกสิ่งรอบตัว ยกเว้น “ตัวฉันเอง” ฉันมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่น่าสงสารของโชคชะตา แล้วฉันก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ
                จนกระทั่งวันที่ฉันว่างเปล่าและยอมรับกับตัวเองว่า ทั้งหมดเป็นเพราะฉันเลือกเองต่างหาก ทันทีที่ฉันยอมรับกับตัวเองว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากตัวฉันเองคนเดียว นาทีนั้นฉันรับรู้ทันที ความตึงเครียดตลอดระยะเวลาหลายปี ความกลัวต่ออนาคตข้างหน้าที่จะไม่มีเงินใช้จ่ายในชีวิตได้หายไป มันโล่งว่างทันที
                ความรู้สึกที่ปรากฏในขณะนั้นคือ ฉันตัดสินใจผิด ฉันผิดพลาดแล้วทั้งหมด มันเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ๆหนึ่งในชีวิตเท่านั้น แต่ฉันยังมีลมหายใจ ฉันยังมีชีวิตแล้วทั้งชีวิตที่เหลืออยู่คือตัวฉันเอง ฉันตั้งคำถามกับตัวฉันเองว่า ฉันจะเดินหน้ากับชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรถ้าฉันยังจมปลักกับความคิดที่มืดมน ฉันจึงให้อภัยกับตัวเอง ฉันพูดคุยกับตัวเองเหมือนคนบ้าถ้าจะมีใครสักคนมาเห็นนะ
คุณลองคิดดูซิว่าที่ผ่านมาฉันเคยให้คำปรึกษา ให้คำปลอบโยนคนอื่นๆเสมอแต่ฉันไม่เคยปลอบโยนตัวเองเลย ฟังดูเหลือเชื่อมากๆที่คุณรักใครสักคนมากๆแต่คุณคอยแต่ก่นด่าบ่นพำถึงความโง่ ความงี่เง่าของคนนั้น คุณว่าไหม เรารักตัวกลัวเจ็บกลัวตายมากที่สุด แต่ในยามที่เรากำลังเผชิญปัญหา เรากลับเอาแต่นั่งด่าตัวเองให้เจ็บปวด น่าตลกและไม่สร้างสรรค์เอาเสียจริงๆ
ฉันบอกตัวฉันเองว่า ฉันไม่ได้จนนะ แค่ถังแตก การเป็นคนจนมันเป็นกรอบที่คนกำหนดขีดเส้นแบ่งระหว่างความสำนึกถึงเงินมากเงินน้อยที่มีอยู่ในตัวคนคนหนึ่งเท่านั้น ฉันไม่ใช่คนที่ใครจะมาขีดกรอบได้ นี่เป็นแค่สถานการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น แล้วคืนนั้นฉันก็หลับสบายกว่าคืนอื่นๆตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อฉันปล่อยให้ความรู้สึกเป็นทุกข์ออกไป ชีวิตฉันจึงมีที่ว่างสำหรับสิ่งใหม่ๆ ฉันเริ่มอ่านหนังสือทุกเล่มที่ฉันมีในชั้นหนังสือ ซึ่งจะเป็นหนังสือฮาวทูอะไรต่อมิอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นฮาวทูเพื่อความร่ำรวย มั่งคั่ง ทั้งที่ฉันเคยอ่านมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป เพราะเมื่อก่อนฉันคิดว่าทั้งหมดที่พูดในหนังสือจิตวิทยาพวกนี้ก็เพียงเพื่อให้คนคิดบวกเท่านั้น
ฉันคิดอย่างหลงตัวเองว่านั่นมันเป็นแค่หลักการ ชีวิตและธุรกิจต่างหากที่เป็นของจริง ฉันอายุเพียง 28 ปีในตอนที่เริ่มธุรกิจแล้วฉันก็ทำเงินล้านได้ในหนึ่งปีโดยที่ฉันไม่เห็นต้องใช้กฏอะไรต่อมิอะไรอย่างที่ว่าไว้ในหนังสือเหล่านี้เลย ฉันจึงอ่านผ่านๆเพียงเพื่อให้รู้ว่าทั้งหมดต้องการจะบอกอะไร เพื่อที่เวลาคุยกับคนอื่นๆ ฉันจะบอกได้ว่าฉันอ่านมาแล้ว (มันฟังดูดีที่อ่านหนังสือดังๆ) ฉันคิดแบบนั้นจริงนะในตอนนั้น
แต่วันนี้ความคิดฉันเปลี่ยนไป ฉันอ่านทุกถ้อยคำในหนังสืออย่างดิ่งลึกและแสวงหาคำตอบบางอย่างที่จะเป็นแสงสว่างให้กับชีวิตฉัน แล้วฉันก็ได้พบและรู้จัก “ Law of Attraction” ฉันอ่าน ศึกษามันในหนังสือทุกเล่มที่กล่าวถึงมัน ในอินเตอร์เน็ต และพูดคุยสอบถามคนทุกคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎนี้
มันเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตฉัน
ฉันเริ่มสำรวจความคิดของตนเอง แล้วฉันก็พบว่าในทุกๆช่วงของชีวิต กฎแห่งแรงดึงดูดทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ มันเป็นการจับคู่ของสิ่งที่มีพลังงานเดียวกัน ไม่ว่ามันจะเป็นพลังงานดีหรือลบก็ตาม
กฎแห่งแรงดึงดูดทำหน้าที่เป็นกฎแห่งจักรวาลที่มีพลังดึงดูดุจแม่เหล็กและทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะยามหลับยามตื่น ไม่ว่าคุณจะปล่อยพลังงานความคิดของคุณไหลไปยังสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม แค่คุณสนใจหรือเพ่งความคิดไปสู่สิ่งนั้นๆ คุณจะดึงดูดสิ่งนั้นๆเข้ามาในชีวิตคุณ
ฉันเริ่มทดลองฝึกการใช้กฎแห่งแรงดึงดูดในชีวิตจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น การหาที่จอดรถในทันทีที่รถฉันเข้าไปถึงลานจอดรถ มันได้ผลและได้ผลอย่างต่อเนื่อง ฉันจึงขยับไปสู่เกมที่ใหญ่มากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ที่ฉันอุทานกับตัวเองว่า “โอ้ว ชีวิตช่างเป็นเรื่องง่ายเสียเหลือเกิน” ถ้าเพียงแต่คุณรู้ว่าทำอย่างไร
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่คุณจะมีทุกอย่างที่คุณต้องการ ใช้ชีวิตอย่างที่คุณปรารถนา อยู่ในสถาการณ์ที่สมบูรณ์แบบอย่างง่ายดายและที่สำคัญวิธีการของมันเรียบง่ายจนเหลือเชื่อ
 เรื่องราวที่จะเอ่ยถึงจากนี้ไปจะเป็นการรวบรวมวิธีการที่เป็นรูปธรรมจากการอ่าน จากประสบการณ์จริงของฉันและเพื่อนๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริงเพื่อดึงดูดชีวิตที่คุณต้องการ
แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำตามข้อทุกข้อที่เอ่ยถึงในบทความนี้อย่างเคร่งครัด อย่าจำกัดกรอบให้กับตัวเอง จงสนุกและตระหนักว่ากฎแห่งแรงดึงดูดกำลังทำงานเพื่อคุณเสมอ แล้วสนุกกับความฝันของคุณต่อไป





วิธีการทำงานของกฎแห่งแรงดึงดูด
กฎแห่งแรงดึงดูดมีหลักการที่สำคัญว่าด้วย “พลังงานที่เหมือนกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกัน”  ลองมาฟังเรื่องนี้ดู ฉันรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อนิรมล ฉันรู้จักเธออย่างบังเอิญ นิรมลเป็นคนที่คิดเสมอว่าโลกโหดร้าย ผู้คนเห็นแก่ตัวและจ้องจะเอาเปรียบเธอ น่าแปลกใจที่เธอเองก็มักได้สินค้าไม่ดี สินค้ามีตำหนิเสมอๆในการซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างเพื่อตอกย้ำความเชื่อของเธอที่ผู้คนเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวกับเธอ
 นอกจากนั้นเธอยังมีไม่ศรัทธาในตนเองมากพอ ขนาดที่ว่าหากในวงสนทนามีการพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลว่าไม่เก่ง ไม่ฉลาดหรือฟังดูโง่ เธอมักจะคิดสร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเองเสมอว่า ทุกคนกำลังจงใจต่อว่าเธอเป็นนัยๆ ทั้งที่บางทีไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอเลย แต่เธอยังดึงดูดสิ่งเหล่านี้เข้ามาสู่ตัวเองจนได้
นอกจากนั้น เธอมีชีวิตครอบครัวที่ไม่เป็นสุขเพราะเธอมีปมปัญหาชีวิตที่ขัดแย้งจากพ่อและแม่ของเธอจนชีวิตคู่เธอก็เป็นแบบที่พ่อแม่เธอเป็น เพราะเธอเชื่อและเห็นจากชีวิตคู่ของพ่อและแม่ เพื่อสนองต่อความคิดของเธอว่า เธอคือเหยื่อแห่งชะตากรรม ถูกเอาเปรียบ ไม่มีเพื่อนดี ไม่มีชีวิตคู่ดี และอื่นๆอีกหลายอย่างเท่าที่ความคิดลบๆจะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในชีวิตเธอได้
เมื่อความคิดของคุณมักพัวพันกับสิ่งที่คุณเรียกมันว่า “เหยื่อแห่งชะตากรรม” คุณก็มักพบแต่ชะตากรรมที่โหดร้ายกระหน่ำคุณอย่างไม่ปรานี เช่นนิรมล
ดังนั้นหากคุณคิดว่าทุกเหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาของคุณ คุณเป็นผู้ถูกกระทำ คุณจะต้องกลายเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณรู้สึกจับคู่กันเสมอ ลองตรวจสอบดูว่าคุณคุ้นๆกับคำเหล่านี้บ้างไหม
·       เพราะฉันไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ฉันจึงต้องมีชีวิตไม่ร่ำรวยแบบที่พ่อแม่ฉันเป็น
·       ฉันต้องมีเงินมากกว่านี้ ฉันจึงจะมีสิ่งนั้นได้
·       ฉันไม่มีทางมีเงินพอหรอก เพราะฉันมีแต่หนี้สิน แค่ประคองตัวเองไปถึงสิ้นเดือนก็ดีถมไป
·       ฉันจะถูกหุ้นส่วนโกงไหม
·       เจ้านายฉันคอยจ้องจะจับผิดฉันเสมอ
·       ฉันไม่กล้าทำสิ่งนี้ เพราะถ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมา ฉันจะไม่เหลืออะไร
·       ฉันไม่มีทางรวยได้ เพราะฉันไม่เคยโกง คนโกงมักร่ำรวยเสมอดูอย่างนักการเมืองสิ
·       ความอยากได้ อยากมีเป็นความโลภ เป็นบาป เป็นกิเลส ฉันต้องพอใจในสิ่งที่มี
·       ถึงฉันจะยากจน แต่ฉันไม่เคยเอาเปรียบใคร แล้วฉันมักถูกเอาเปรียบเสมอๆ
·       เงินทองหายาก
·       ฉันไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะฉันไม่มีโอกาส ไม่มีเส้นสาย
·       เพราะฉันไม่ได้เรียนคณะดังๆ ฉันจึงหางานที่มีผลตอบแทนสูงๆไม่ได้
·       ฉันไม่ค่อยมีทางเลือกในชีวิตมากนัก
·       ฉันไม่มีเวลาพอสำหรับสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะทำหรอก
·       ฯลฯ

ฉันอยากให้คุณลองมองย้อนกลับไปในแง่มุมต่างๆของชีวิตของคุณที่ผ่านมา ชีวิตคุณเป็นเรื่องของความยากลำบากไหม เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ท้อแท้ เคียดแค้น โกรธเกลียดหรือเต็มไปด้วยความสงบ ผ่อนคลาย สบายๆ เบิกบาน
แล้วลองจับคู่ความคิดความรู้สึกของคุณเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาของคุณดู สำรวจดูว่ามันเป็นพลังงานบวกหรือพลังงานลบ แล้วคุณจะพบว่ากฎแห่งแรงดึงดูดมีพลังงานครอบคลุมชีวิตคุณตลอดเวลาและทำงานตลอดเวลา สิ่งใดก็ตามที่คุณคิด คุณรู้สึก คุณจะได้รับสิ่งนั้นๆในชีวิตคุณเสมอ
คราวนี้ลองมองดูสถานการณ์ในชีวิตคุณปัจจุบัน สังเกตดูความเชื่อมโยงของความคิดคุณในขณะนี้ ถ้าคุณกำลังมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลจากจุดที่คุณใฝ่ฝันความคิดของคุณเชื่อมโยงกับสิ่งๆนี้หรือเปล่า เช่นคุณกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน ลองสำรวจความคิดของคุณดูว่า คุณคิดว่าเงินทองเป็นของหายาก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณหรือเปล่า แล้วความคิดนี้ยังคงเป็นเรื่องยากลำบากและเป็นปัญหาในชีวิตคุณจนถึงทุกวันนี้ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
สิ่งแรก คุณต้องเข้าใจว่าไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณคิด คุณจะดึงดูดมันเข้ามาในชีวิตคุณเสมอ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งไหนในจักรวาลนี้ กฎนี้ทำงานเสมอ มันแป็นกฏฟิสิคส์ อนุภาคของความคิดสร้างปรากฏการณ์ที่เป็นจริงในชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อคุณรับรู้ถึงกฎนี้และการทำงานของมันในชีวิตคุณ คุณจะควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย วิธีการน่ะเหรอ มีเพียงสองข้อ
ข้อแรก หมั่นถามคำถามกับตัวเองเสมอว่าคุณกำลังคิดอะไร ตรวจดูให้รอบด้านโดยไม่ใส่ความเชื่อที่เคยถูกปลูกฝังในหัวคุณมาในอดีต สิ่งที่คุณกำลังคิดนั้นเป็นลบหรือบวก ถ้าเป็นลบจงจงใจที่จะเปลี่ยนมันทันทีที่ความคิดลบปรากฏตัวขึ้นในหัวสมองคุณ
ข้อสอง นึกถึงแต่สิ่งที่คุณต้องการ อย่านึกถึงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ เช่น
ความคิดที่ไม่ต้องการ : ฉันอยากให้หนี้สินที่ฉันมีอยู่หายไปจากชีวิต มันทำให้ฉันเป็นทุกข์และกังวลใจ
ความคิดที่ต้องการ : ฉันรู้สึกมีความสุขมากและรู้สึกขอบคุณที่เงินทองกำลังหลั่งไหลมาสู่ฉันอย่างมากมาย
ง่ายจนเกินกว่าจะเชื่อใช่ไหมคะว่าแค่หมั่นสำรวจความคิดของคุณ แล้วกฎแห่งแรงดึงดูดจะค่อยๆเผยโฉม นำสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตเข้ามาสู่คุณทีละน้อยๆ จนทุกอย่างในชีวิตคุณจะง่ายขึ้นๆ อาจจะเพราะความเรียบง่ายของมันจึงทำให้ใครหลายๆคนไม่เชื่อว่ามันจะทำงานได้จริง อย่างที่ฉันเคยเป็นในอดีต
ขอแค่สนุกและรู้สึกถึงความคิดของคุณอย่างมีสติตลอดเวลา แล้วคุณจะพบว่ากฏแห่งแรงดึงดูดคือของขวัญจากจักรวาลที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
เกมที่ 1
เรามาเล่นเกมมาวางพื้นฐานชีวิตคุณใหม่เสียเดี๋ยวนี้กันเลย หาสมุดสวยๆพร้อมกระดาษเขียนจดหมาย ซอง แสตมป์ เมื่อคุณพร้อมแล้วเราเริ่มลงมือกันเลย
หาที่เงียบๆที่ไม่มีใครมารบกวนคุณได้ สำรวจตัวเอง คุณต้องการเป็นอะไร คุณฝันอยากมีชีวิตแบบไหน คุณอยากมีอะไร จงนั่งลงแล้วหลับตาเบาๆ ผ่อนคลาย จินตนาการว่าถ้าคุณมีพรวิเศษ คุณจะบันดาลให้เกิดอะไรในชีวิตคุณบ้าง
เริ่มปล่อยความคิดคุณให้ล่องลอยเหมือนคุณเป็นเด็กอีกครั้ง นึกถึงอะไรที่ทำให้คุณเป็นสุขจงเขียนมันลงไปในสมุดเล่มสวยๆนี้ที่คุณจะอ่านทบทวนมันได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ปล่อยให้ความปรารถนานำทางคุณโดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องมีความคิดที่เป็นไปไม่ได้(แม้คุณจะแอบแวบไปคิดสักวินาทีก็จงดึงกลับมาอย่างสงบ มีความสุขกับความคิดคุณต่อ) คุณอาจจะเขียนเป็นข้อๆก็ได้ ทบทวนมันอีกครั้งว่านี่ใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆหรือยัง คุณอาจจะอยากมีบ้านขนาดห้าห้องนอนแต่คุณคิดว่าแค่บ้านสามห้องนอนก็ดีพอแล้ว จงลบมันทิ้งแล้วเขียนสิ่งที่คุณต้องการจริงๆลงไป กฏจักรวาลไม่เคยคิดและตัดสินว่าคุณคู่ควรกับอะไรหรือไม่คู่ควรกับอะไร

เกมที่สอง
ให้เขียนจดหมายถึงตัวเองในอีกหนึ่งปีข้างหน้า บรรยายถึงชีวิตของคุณในอีกหนึ่งปีข้างหน้าว่าคุณจะมีชีวิตอย่างไรจากความปรารถนาทั้งหมดของคุณแล้วใส่ซอง ปิดผนึก ติดแสตมป์ คุณอาจจะไปฝากเพื่อนสักคนที่เข้าใจคุณให้เขาช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า(ถ้าคุณไม่มีใครที่ไว้ใจพอ คุณอาจจะส่งมาให้ฉันก็ได้ค่ะ ฉันยินดีที่จะเก็บรักษาจดหมายคุณไว้แล้วส่งให้คุณในอีกหนึ่งปีข้างหน้า)  แล้วดูซิว่า ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร ว้าว ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม ลองคิดดูซิว่าคุณจะรู้สึกเช่นไรขณะที่คุณอ่านจดหมายฉบับนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าแล้วข้างๆคุณคือสิ่งที่คุณระบุในจดหมายนั้นด้วยซิ

 ตอนหน้า เราจะพูดถึง “อย่างไร” กันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ความลับข้อที่ 1 ปัจจุบันขณะ

ฉันเคยสงสัยคำว่าปัจจุบันขณะเสมอมา ฉันได้พบคำว่าปัจจุบันขณะครั้งแรกเมื่อฉันได้เข้าไปบวชชีพราหมณ์ที่สถานปฏิบัติธรรมแสงทองส่องชีวิต แต่คนฉลาดน้อยอย่างฉันก็ยังไม่เข้าใจคำว่ารู้สึกตัวตนอยู่ทุกขณะ แต่ฉันไม่ถามใครหรอกเพราะตอนนั้นฉันอายเกินกว่าที่จะให้ใครรู้ว่าฉันโง่ อาจจะเพราะตอนนั้นฉันยังมีอีโก้ปนอีโง่อยู่กระมัง คำๆนี้จึงเป็นความลับดำมืดสำหรับฉันตลอดมา

จนกระทั่งฉันได้มาพบคุณAvatar_Boy ซึ่งถึงตอนนี้แม้เราจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วแต่ฉันยังระลึกถึงเขาอยู่เสมอ ฉันจะเล่าให้คุณฟังวันหลังถึงวิธีจัดการกับความรู้สึกนี้และเชื่อว่ามีประโยชน์กับคุณผู้อ่านแน่นอน

คุณAvatar_Boy เป็นชายไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศแล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ตั้งกระทู้หนึ่งในเวบพลังจิตดอทคอม เวบเดิมที่ฉันวนเวียนเข้าไปอ่านเสมอๆ เขาตั้งกระทู้เกี่ยวกับโรงเรียนโบราณและการรู้แจ้ง ซึ่งถึงตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะนำข้อเขียนเขามาถ่ายทอดให้คุณๆฟังได้ แต่ฉันเล่าได้ว่ากระทู้นั้นสร้างบางอย่างมหัศจรรย์ให้กับฉัน

เขาย้ำบ่อยครั้งถึงปัจจุบันขณะว่ามันมีพลังอำนาจมหัศจรรย์ขนาดจะพลิกชีวิตทั้งชีวิตของเรา เขาบอกถึงวิธีการนั่งสมาธิที่จดจ่อไปที่ตำแหน่งบริเวณตาที่สาม(ตำแหน่งกลางระหว่างคิ้วหรือเราเรียกตำแหน่งนี้ว่าจักระที่ 6) จดจ่อจนฉันลืมตัวตนของตัวเองแล้วอยู่กับปัจจุบันขณะ

ฉันเริ่มงงและไม่เข้าใจ ฉันพยายามถามว่ามันเป็นยังไงกันนะไอ้ปัจจุบันขณะขณะที่ลืมตัวตนของเราไป เขาก็ตอบว่าปัจจุบันขณะคือการรู้สึกตัวตนและการรู้สึกตัวตน คนโง่อย่างฉันก็ไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด เฮ้อ...ฉันได้แต่ทอดถอนใจแล้วทำตามที่เขาสอนโดยหวังว่าสักวันฉันก็คงรู้ความหมายที่แท้จริงเอง

ฉันนั่งสมาธิด้วยการเพ่งไปที่ตำแหน่งตาที่สาม จนปวดเขม็งเพราะเกร็งกล้ามเนื้อขณะที่เพ่งไปตำแหน่งนั้น มันออกจะเป็นวิธีการที่โง่สักหน่อยสำหรับผู้หญิงที่รักสวยรักงามอย่างฉันเพราะการเพ่งเกร็งไปจุดนั้นทำให้เกิดริ้วรอยย่นได้ง่าย

ฉันเพ่งแบบโง่ๆไปวันแล้ววันเล่า วันละหลายชั่วโมง บอกแล้วไงฉันเป็นนักเรียนที่ดี เขาบอกว่าถ้าฉันอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตต้องจดจ่อนานนับชั่วโมง เขายกตัวอย่างเขาว่าเขานั่งเพ่งจดจ่อวันละสามชั่วโมงแล้วไม่เกินสามวัน ความปรารถนาที่เขาจดจ่อก็เป็นจริง ฉันอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ฉันร่ำร้องในใจและเลิกทำอย่างอื่นนอกจากการนั่งสมาธิ เพ่งให้ลืมตัวตน แต่ฉันไม่เคยทำได้สักที ฉันยังคงมีตัวตนฉันนั่งสมาธิจนปวดเมื่อย หน้าผากเต้นตุบตับด้วยความปวดและหมดเวลาไปอีกวัน

ฉันพยายามเรียนรู้ถึงสิ่งเขาบอกเล่าไม่ว่าจะเป็นการจดจ่อกับสิ่งที่ปรารถนา คุณผู้อ่านคงจะจำหนังสืออันลือลั่นทั่วโลกอย่าง เดอะ ซีเคร็ตได้นะคะ สิ่งที่เขานำมาเล่ามาสอน มันก็มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับหนังสือเล่มนั้นแต่ลึกกว่า ละเอียดกว่าและจับต้องได้มากกว่า

เขาพูดถึงการจดจ่อสิ่งที่ปรารถนาด้วยการนำสัญลักษณ์วางไว้ในทุกที่ในบ้านให้ฉันเห็น ให้ฉันจดจ่อกับความปรารถนาของฉัน มันคือกฏแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ฉันก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะฉันอยากมีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น พ้นจากความยากจนและปัญหาหนี้สิน 16 ล้านที่รุมเร้าฉัน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันสร้างหนี้ขนาดนั้นจริงๆและยากจนเฉียบพลันจริงๆ

มันอาจจะได้ผลกระมัง ฉันคิดว่านะ เพราะช่วงขณะนั้นฉันเริ่มมีรายได้เข้ามาอย่างเป็นกอบเป็นกำ เดือนละ 50000 บาท มันทำให้ฉันรู้สึกมีแรงใจที่จะต่อสู้ต่อไป แต่ลึกๆฉันกลับรู้สึกไม่ภาคภูมิใจกับอาชีพการงานนั้นนัก มันเป็นอาชีพที่ฉันไม่ค่อยรู้สึกมีเกียรติและฉันไม่ค่อยกล้าบอกใครนัก อาจจะเพราะฉันจดจ่อแค่เรื่องเงิน อาชีพนั้นจึงจบลงในเวลาปีเดียวโดยที่ฉันรู้สึกเสียดายนิดๆโล่งใจหน่อยๆ ความรู้สึกมันอธิบายยากเหลือเกินแล้วฉันก็เริ่มมีรายได้ทางอื่นเข้ามา อย่างน้อยมันทำให้ฉันเริ่มลืมตาอ้าปากได้บ้าง

เอาละฉันไม่อยากให้คุณผู้อ่านเสียเวลากับเรื่องความยากจนหรือรายได้ของฉัน เอาเป็นว่าหลังจากที่จดจ่อกับสัญลักษณ์และนั่งสมาธิอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่ค่อยได้ผล ไม่ค่อยเข้าใจมาประมาณ 6 เดือน

ประสบการณ์นั่งสมาธิทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนด้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ฉันได้ฟังคนอื่นพูดถึงความมหัศจรรย์ของการนั่งสมาธิ ใบหน้าคนคนนั้นจะอิ่มเอิบมีบุญและกระจ่างใส บางคนถึงกับประกาศว่าครีมลบเลือนริ้วรอยใดๆก็ไม่สู้การนั่งสมาธิ

ฉันไม่เคยเข้าใจและฉันทำไม่ได้ ปัจจุบันขณะและสมาธิยังคงเป็นความลับดำมืดสำหรับฉัน

วันหนึ่งฉันได้ฟังวิทยุรายการหนึ่งที่นำเทปบันทึกการเทศน์ของพระอาจารย์ ว. วชิรเมธีมาเปิดแล้วบังเอิญเป็นเรื่องของปัจจุบันขณะ ท่านเล่าว่าได้ไปพบท่าน ดิช นัช ฮานน์ที่กุฏิของท่านดิช ท่านดิช นัช ฮานน์เป็นพระชาวเวียตนามที่ไปเผยแพร่ธรรมที่ประเทศฝร่งเศส ท่านเขียนหนังสือมากมายที่ล้วนมีคุณค่าที่คุณผู้อ่านจะหาอ่าน

ท่าน ว. เล่าว่า ท่านดิช นัช ฮานน์ให้ความสำคัญกับคำว่า " Now & Here" นาฬิกาของท่านจะมีอยู่ทั่วกุฏิแต่ไม่ได้มีตัวเลขอย่างนาฬิกาทั่วๆไป หากแต่มีคำว่า Now ในตำแหน่งตัวเลขหลักๆของนาฬิกาทั่วไป เช่นตำแหน่ง เลข 12 เลข 6 เลข 3 เลข 9
ท่าน ว. ยังให้คนฟังลองสำรวจว่าเราใช้ชีวิตในอดีตหรือปัจจุบันในแต่ละวัน ท่านว่าแค่เราฮัมเพลงโปรด เราก็ใช้ชีวิตอยู่ในอดีตแล้ว ท่านยังสอนว่า ให้เราหัดสนใจลมหายใจของตัวเองสักวันละนาที สองนาทีก็ยังดี

ฉันก็เริ่มทำตาม บอกแล้วไงคะว่าฉันน่ะพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใจคำว่า Now หรือปัจจุบันขณะเพราะฉันเชื่อว่าถ้าฉันเข้าใจมัน ฉันก็จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันได้ ฉันเริ่มตั้งนาฬืกาให้ดังทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อจะได้สนใจลมหายใจของตัวเองอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้าหายใจออก ฉันรู้สึกดีใจที่ตัวเองมีปัจจุบันขณะแม้จะหนึ่งนาทีในแต่ละชั่วโมง แต่มันยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่างที่ฉันคิด

จนกระทั่งไม่นานนี้เอง ฉันได้ไปเยี่ยมพี่นักเขียนที่บ้านหลังมหึมาของพี่เขาที่เขาใหญ่ ฉันอยากจะเรียกว่าวังหรือคฤหาสน์มากกว่าสำหรับบ้านขนาด 1600 ตารางเมตร บ้านพี่นักเขียน ไลฟ์สไตล์พี่นักเขียนคือความปรารถนาของฉันที่ใฝ่ฝันถึงมาตลอดแต่ไม่เคยเห็นมันคมชัดและเป็นจริงเช่นขณะที่ยืนอยู่ในบ้านของพี่ต๋อม เมื่อฉันบอกพี่เขาว่านี่คือความฝันของฉันที่ฉันรู้ว่าปรารถนามาโดยตลอดแต่มันไม่เคยมีแบบร่างให้ฉันเห็นเท่านี้มาก่อนในชีวิต

พี่ต๋อมมองฉันก่อนจะยิ้มด้วยแววตาอบอุ่นปนขัน "ไว้พี่จะบอกความลับที่สาริสาจะมีแบบนี้ได้ ชีวิตมันง่ายเหลือเกิน" โอ๊ย ตายละ ฉันอยากจะรู้ความลับนี้เหลือเกิน ฉันร่ำร้องในใจแต่ตามมารยาทฉันควรจะสงบเสงี่ยม สำรวมตัว

วันนั้นพี่นักเขียนหรือพี่ต๋อม (ซึ่งต่อไปฉันจะเรียกว่าพี่นักเขียนเพราะฉันชอบที่จะให้เป็นแบบนั้น) ทำขนมจีนแกงเขียวหวานลูกชิ้นกับผักกาดดองผัดไข่เลี้ยง มันดูเป็นอาหารง่ายๆธรรมดาๆแต่เมื่อเป็นไลฟ์สไตล์ของพี่นักเขียน แน่นอนละมันย่อมไม่ธรรมดา จานอาหารจัดวางในจานสวยงามวางซ้อนจานสองชั้นพร้อมแผ่นรองจานสีทองบนโต๊ะอาหารฝังมุกที่ยาวเหยียดขนาด 20 ที่นั่ง มันหรูหราจริงๆนะสำหรับฉัน

ระหว่างทานอาหาร พี่นักเขียนก็เล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านและเรื่องของจิตวิญญาณ มีตอนหนึ่งที่พี่นักเขียนยืนยันด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นอย่างคนมีประสบการณ์ว่า "ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยจินตนาการ ปัจจัยใดๆไม่มีความสำคัญเลย"

โอ้...ฉันอยากจะรู้เหลือเกิน ให้ตายเถอะ

แล้วคนหนึ่งในคณะที่ไปด้วยกันก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องภัยพิบัติ เรื่องจลาจล เรื่องความน่ากลัว พี่นักเขียนได้แต่ยิ้มแล้วรีบฟังด้วยอาการสงบ

"เราจดจ่อสิ่งใด เรามักได้สิ่งนั้น เรื่องนี้เป็นจริงเสมอมาโดยไม่เคยเปลี่ยน" เธอหันไปสบตาคนที่กำลังบรรยายถึงภัยพิบัติ "ถ้าน้องจดจ่อกับเรื่องนี้ น้องก็จะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้" พี่นักเขียนเล่าถึงชีวิตช่วงหนึ่งที่ตอนนั้นสถานการณ์ในกรุงเทพฯ กำลังเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของผู้คนกลุ่มหนึ่ง เรื่องของสีในประเทศไทย

"ถ้าพี่รับเอาสถานการณ์นั้นเข้ามาด้วยความกลัว พี่ก็จะจดจ่อกับเรื่องนั้นแต่พี่ไม่รับความคิดนั้น พี่ปิดทีวี วิทยุแล้วใช้ชีวิตตามปกติ เพราะพี่เลือกที่จะอยู่ในมิติที่ไม่มีเรื่องนั้น มิติแต่ละมิติซ้อนทับกันจนเราแทบแยกไม่ออก ถ้าพี่เลือกเอามิติที่พี่จะไปอยู่ท่ามกลางการชุมนุม พี่ก็จะไปอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าพี่เลือกมิติที่มีแต่ความสุขสงบ พี่ก็จะไม่เจอเรื่องแบบนั้น มันขึ้นอยู่กับขณะนั้นว่าเราจดจ่อกับสิ่งใด"

"พี่หมายถึงว่าเราจดจ่อกับมิตินั้น เราต้องมีสติจดจ่อกับปัจจุบันขณะเพื่อเลือกมิตินั้นใช่ไหมคะ" แสงสว่างปลายทางอุโมงค์เริ่มเห็นแสงรำไรขณะที่ฉันถามออกไป
พี่นักเขียนพยักหน้า "ถูกต้อง ปัจจุบันขณะเป็นเรื่องสำคัญว่าเรากำลังเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในมิติใด เราต้องจดจ่อกับปัจจุบันขณะ มีสติและจดจ่อกับสิ่งที่เราปรารถนา"

ฉันแทบจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น ฉันเก๊ตแล้ว ปัจจุบันขณะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของอเคมดิสตอนที่ร้องอุทานว่า "ยูเรก้า! "

ฉันเข้าใจมันแล้ว... ยูเรก้า Now&Here

ถ้าฉันจดจ่อกับสิ่งที่ฉันปรารถนา ฉันต้องมีสติจดจ่อกับสิ่งที่ฉันปรารถนาโดยรู้สึกตัวตนทุกขณะว่าฉันกำลังเลือกมิติใด มิติที่ฉันกำลังอยู่นี้ใช่ชีวิตที่ฉันปรารถนาหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ฉันก็เปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสิ่งที่ใช่สำหรับฉัน ที่สำคคัญฉันต้องมีปัจจุบันขณะที่จะรู้ตัวว่านี่ฉันกำลังอยู่ในมิติไหน ง่ายๆแบบนี้

ดิฉันมีลูกค้าชาวญี่ปุ่น (อ้อ ดิฉันลืมเล่าไปว่าช่วงที่ผ่านมา ชีวิตฉันดีขึ้นๆจนฉันเริ่มมีธุรกิจของตัวเอง เป็นธุรกิจส่งออกเล็กๆที่มีหนทางเติบโตมั่นคงอย่างมากในวันข้างหน้า) แล้วช่วงที่ไปเขาใหญ่บ้านพี่นักเขียนก็เป็นช่วงที่สินค้าต้องโหลดเข้าเครื่อง
ปกติถ้าสินค้าส่งออกฉันต้องอยู่แสตนบายเพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ทำใจว่าทุกอย่างคงไม่มีปัญหา ปรากฏว่ามีปัญหา เนื่องจากเป็นความผิดพลาดของลูกค้าและความไม่รอบคอบของเราที่ไม่เช็คกลับไปที่ลูกค้าอีกที
วันจันทร์เป็นอะไรที่โกลาหล สินค้าไปถึงแล้ว แต่ความผิดพลาดมันทำให้ออกของไม่ได้เพราะต้องแก้ที่ต้นทาง ถ้าลูกค้าปฏิเสธที่จะรับ หมายถึงว่าดิฉันก็จะสูญเสียเงิน ขณะที่ลูกค้าองถ้ารับก็จะต้องโดนเรื่องภาษีสองเท่า ซึ่งแพงกว่าราคาของเสียอีก
ทีแรกดิฉันทั้งตระหนกตกใจ หวั่นกลัว แต่พยายามนึกถึงคำพูดพี่นักเขียนว่า เราเชื่อ เราคิด เราก็ดึงดูดมันเข้ามา ในเมื่อกฏจักรวาลบอกว่าคลื่นความถี่เดียวกันจึงอยู่ด้วยกัน ความเชื่อเดียวกันจึงอยู่ด้วยกัน ฉันบอกตัวเองว่าเราเลือกมิติที่สินค้าสามารถเคลียร์ได้โดยไม่มีปัญหา
แล้วลูกค้าก็ไม่มีปัญหา เราอยู่ในมิตินั้น

ตอนที่โทรหาลูกค้า ฉันสงบอย่างประหลาด น้ำเสียงมั่นคงขณะยืนยันกับลูกค้าว่า เชื่อมั่นว่ในตัวฉันที่จะทำให้ดีที่สุดแล้วทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย จากความร้อนรนกังวลใจของเขาที่จะให้แก้แบบนั้นแบบนี้ ฉันจึงบอกให้เขาหยุดฟังเราด้วยเสียงที่ค่อนข้างวางอำนาจให้เขาหยุดพูดแล้วฟังฉัน แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแต่สงบ เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยอมทำตามที่แนะนำคืออยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย อย่าดิ้นรน ฉันรับผิดชอบทุกปัญหาเอง แม้ว่ามันจะเริ่มจากเขา(ข้อนี้ฉันไม่ได้บอก มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันไปมา)

จากนั้นก็ติดต่อคาร์โก้เมืองไทยให้ติดต่อเอเย่นต์ทางฝั่งโน้น เราประชุมสามสาย หลังจากที่ฉันขอเป็นคนเจรจาเองโดยให้คาร์โก้เงียบๆไป เพราะคาร์โก้เองก็พูดแต่วิธีแก้เดิมๆที่เคยทำ

ฉันก็พูดไปใจก็คิดไปว่านี่คือมิติที่เราเลือกอยู่ ไม่มีปัญหา ไม่มีความยุ่งยาก จากปัญหายากๆหลังจากที่ทุกคนช่วยกันหาทางออก แก้เอกสาร ส่งจากเมืองไทย แก้ต้นขั้ว ยื่นขอใหม่แม้จะเสียเวลาอีกวัน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง ลูกค้าก็รับได้  วันนี้ปัญหาก็จบลงอย่างสวยงาม

เชื่อไหมว่าวินาทีนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่กลับเข้าใจเรื่องของพลังอำนาจในตัวเอง การเชื่อมั่นในตัวเองและห้วงปัจจุบันขณะ

ถ้าเราอ่อนไหวกับสิ่งที่คนอื่นๆพูดมาเพราะเขาเคยมีประสบการณ์แบบนี้ แล้วมีทางเลือกที่เคยทำมาแล้วแบบนี้ เราจะไม่มีทางออกที่ดีเท่านี้ถ้าเรายอมรับมัน แต่เพราะฉันไม่ฟังเพราะนั่นจะหมายถึงว่าฉันเลือกที่จะอยู่ในมิติที่มีปัญหา ฉันเชื่อมั่นในอนุภาคพระเจ้าในตัวเราที่จะได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ มันมีช่องว่างระหว่างเรากับความต้องการคือความเชื่อเท่านั้นเอง

ฉันอยากให้คุณผู้อ่านลองทำความเข้าใจกับปัจจุบันขณะของตัวเองว่ามันตีความอย่างไร จากที่ปัจจุบันขณะที่ผ่านมาของฉันคือการแค่จับลมหายใจทุกชั่วโมง แต่มันยังไม่ใช่ปัจจุบันขณะแห่งมิติที่ปรารถนา จนกระทั่งประสบการณ์เรื่องนี้ทำให้เรารู้จักปัจจุบันขณะของตัวเองและพลังอำนาจแห่งการรู้สึกตัวตนในปัจจุบันขณะ
 แต่ละคนอาจมีปัจจุบันขณะของตัวเองต่างกันไป อันนี้ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ฉันค้นพบว่าปัจจุบันขณะของฉันนั้นมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ฉันปรารถนา และด้วยพลังอำนาจนั้นมันทำให้ฉันสงบและมั่นใจตัวเองสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย

เมื่อวันที่ชีวิตเป็นเรื่องง่าย

เกริ่นนำ

ฉันขอเล่าเรื่องฉันแบบเรียบง่ายสั้นๆเพื่อทำความรู้จักกันในฐานะเพื่อนระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน มันคงจะไม่ดีถ้าเพื่อนจะไม่รู้จักเพื่อน จริงไหมคะ ก่อนที่เราจะก้าวไปข้างหน้าในความมหัศจรรย์แห่งชีวิตไปด้วยกัน เราควรจะรู้ว่าเพื่อนเราเป็นใคร แล้วถ้าใครอยากจะแบ่งปันเรื่องชีวิตให้กับฉัน ฉันก็จะรู้สึกยินดีอย่างยิ่งค่ะ

คุณอาจเรียกฉันว่าสาริสา มันเป็นชื่อที่ฉันชอบใช้เมื่อเริ่มเขียนอะไรใหม่ๆ ฉันเป็นคนชอบเรียนรู้และเฝ้ามองโลกและชีวิตด้วยเครื่องหมายคำถาม มีเรื่องมากมายที่เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าฉันจะจำได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าฉันเคยไปที่แห่งนี้แม้นั่นจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเคยไป มันทำให้ฉันพิศวง

ฉันมองโลกมองผู้คนที่ผ่านเข้าออกในชีวิตฉันด้วยความสงสัย ทำไมบางครั้งคนคนหนึ่งจึงเข้ามาในชีวิตราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ฉันไม่อาจจะขาดได้ หากแต่เวลาผ่านไป นานแค่ไหนฉันก้ยังไม่เคยจดสถิติ ผู้คนเหล่านั้นก็ออกจากชีวิตฉันไป ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ฉันเริ่มศึกษาเรื่องน่าแปลกใจที่คนอื่นอาจไม่รู้สึกแปลกเมื่อสิบปีก่อน ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับชาติภพ ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับแนวนิวเอจ(ถ้าจะมีใครไม่เข้าใจคำว่านิวเอจนี้ ฉันขออธิบายสั้นๆตอนนี้ก่อน นิวเอจคือแนวคิดเกี่ยวกับทางเลือกใหม่ของผู้คนที่แสวงหาทางออกที่ไม่อิงศาสนา เป็นลัทธิที่เชื่อว่าตนเท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุด)จนกระทั่งฉันเริ่มมีความฝันซ้ำๆ

ช่วงนั้นเป้นช่วงเวลาที่ฉันกำลังรู้สึกตกต่ำที่สุดในชีวิต ฉันนอนหลับทุกคืนด้วยความรู้สึกต่ำต้อย ยากจนและไร้คำตอบ จนกระทั่งคืนหนึ่งที่ฉันเริ่มฝันซ้ำๆ ฉันฝันถึงปลาช่อนตัวใหญ่มากในเข่งของแม่ค้าในตลาด

 หลังของมันมีรอยถลอกปอกเปิกจากการดิ้นรนเอาชีวิตรอด แววตามันไร้หนทางและเศร้าสร้อย มันพยายามดิ้นรนเพื่อหนีจากเข่งปลาจนหมดแรง คีบเล็กๆสองข้างเหวี่ยงสุดแรงเพื่อดันตัวเองให้กระโดดสูงพอที่จะออกนอกเข่ง แต่มันไม่เคยหลุดพ้น มันนอนหมดเรี่ยวแรงสักพักก่อนที่จะกระโดดต่อเมื่อมีแรงอีกครั้ง

ฉันฝันแบบนี้คืนแล้วคืนเล่า...

คุณว่าถ้าฝันแบบนี้ในคนไทยนับถือพุทธตามทะเบียนบ้านอย่างฉันจะคิดอะไรได้บ้าง

...ฉันควรจะตีเป็นหวยไหม บางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะบันดาลให้ฉันร่ำรวยขึ้นมาจากโชคลาภนี้ก็ได้ ไม่แน่ว่าบุญเก่าฉันอาจจะมี ฉันเองก็ทำบุญหวังบุญออกจะบ่อยไป เวลาทำบุญทีไรฉันก็ขอยาวเหยียด หรือพวกคุณไม่เคย ที่ฉันขอบ่อยๆคือขอให้ชีวิตฉันมีความสุขความเจริญ ขอให้ฉันสำเร็จสมหวังและอื่นๆอีกมากมาย มันมากมายและน่าละอายเกินกว่าจะจารไนหมด

...หรือว่า...นี่คือเจ้ากรรมนายเวรของฉัน ฉันเคยไปทำกรรมมาแต่ครั้งใด ช่วงไหนในชีวิตชาติภพนี้ หรือชาติภพก่อนหน้านี้ เขาจึงมาเข้าฝันและทวงหนี้กรรม...

ทุกเช้าฉันจะตื่นมาไม่เป็นสุข แววตาปลาตัวนั้นยังตรึงตราอย่างไม่รู้ลืม ตาดำขลับเศร้าสร้อยและพยายามอย่างที่สุด

ฉันจึงเริ่มต้นค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับความฝัน แปลความหมายของฝันและแน่นอน ฉันกำเงินที่มีเพียงน้อยนิดเข้าตลาดและหาซื้อปลาช่อนตัวใหญ่อย่างที่เห็นในฝันปล่อยลงคลองวันแล้ววันเล่า ซึ่งช่วงนั้นมันก็นำความสุขใจให้ฉันชั่วขณะยามที่ฉันคิดว่าฉันได้ช่วยชีวิตๆหนึ่ง แต่ฉันก็ยังคงฝันต่อไป

จนกระทั่งฉันมาพบกระทู้ในเวบบอร์ดแห่งหนึ่งที่พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องความฝัน ห้องเรียนแห่งความฝัน ฉันนั่งอ่านเรื่องราวที่พูดคุยกันโดยมีจุดเริ่ม้นเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอเริ่มเขียนหนังสือชุดโนวา อนาลัย 10 เล่ม โดยเรื่องราวที่เธอเขียนนั้นเป็นเรื่องราวที่เธอได้รับการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์โนวา อนาลัยผ่านความฝัน

อาจารย์โนวา อนาลัยเป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตนแต่มีตัวตน เรื่องราวในหนังสือชุดโนวา อนาลัยทั้งสิบเล่มเป็นเรื่องราวที่อัศจรรย์และเหลือจะเชื่อ หนังสือชุดนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสิบเล่ม ไม่มีเล่มใดก่อนหรือหลัง แล้วที่น่าฮัศจรรย์ยิ่งกว่าคือพี่นักเขียนหรือพี่ต๋อม ผู้เขียนเรื่องนี้จากบันทึกความทรงจำในฝันพิมพ์ต้นฉบับหนังสือชุดนี้เป็นภาษาไทยจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ไม่มีแป้รภาษาไทยและพี่นักเขียนก็พิมพ์สัมผัสไม่เป็น ไว้ฉันจะเล่าเรื่องพี่ต๋อมในภายหลังเพราะเรื่องของพี่ยังมีความน่าทึ่งอีกมากมาย ตอนนี้ขอให้ฉันได้เขียนเรื่องราวตอนนี้ให้จบก่อนที่ฉันจะหลงลืมประเด็นที่ตั้งใจ

หลังจากที่ฉันใช้เวลาช่วงนั้นทั้งหมด อ่านเรื่องราวและกระทู้นั้นจนหมด ฉันก็ตัดสินใจว่าฉันจะเรียนรู้เรื่องความฝันและแปลความหมายของมันให้ได้

ฉันจึงเริ่มหัดจดจำความฝันตามคำแนะนำของพี่นักเขียน นั่งสมาธิตามคำแนะนำจากคนนั้นคนนี้รวมถึงพี่นักเขียนด้วย แต่จนแล้วจนรอดฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่สามารถแปลความหมายของความฝันได้ แต่ฉันก็พยายามจดความฝันคืนแล้วคืนเล่า

ขอสารภาพตามตรง จนกระทั่งก่อนหน้านี้สักสิบนาที ฉันยังไม่เคยตีความความฝันเรื่องปลานั้นออกได้เลย แม้เรื่องมันจะผ่านมานานถึงสี่ปีแล้วก็ตาม แต่หลังจากที่ฉันนั่งลงบันทึกเรื่องราวความมหัศจรรย์แห่งชีวิตที่ฉันได้รับ ฉันเพิ่งจะแปลความหมายออก ปลาตัวนั้นหมายถึงฉันนั่นเอง แววตาที่ทรหดและพยายามดิ้นรนต่อสู้บอกฉันในช่วงขณะนั้นที่ฉันหมดแรงใจที่จะต่อสู้กับชีวิตที่เหนื่อยยากว่าฉันยังมีหนทาง

นาทีนี้ฉันขอบอกคุณว่าขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ขอบคุณชีวิต ขอบคุณพลังมหัศจรรย์แห่งปัจจุบันขณะ ขอบคุณพี่นักเขียนชุดโนวา อนาลัย ขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านเข้าในชีวิต ขอบคุณคุณผู้อ่านและขอโอกาสให้ฉันได้แบ่งปันเรื่องราวของฉันให้คุณ เผื่อว่าเรื่องราวชีวิตของฉันที่จะเล่าความลับบางอย่างจะทำให้บางคนที่กำลังสิ้นแรงใจในชีวิตขณะนี้ได้ลุกขึ้นสู้ ความลับที่คุณจะอุทานออกมาอย่างที่ฉันอุทานเมื่อล่วงรู้ความลับนี้

" ชีวิตช่างเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน! "